ทราบข่าวว่าน้องวาฤทธิ์ สมน้อย เด็กชายวัย 15 ปีได้เสียชีวิตลงแล้ว
หลังจากโดนกระสุนยิงที่หน้าสน. ดินแดงขณะไปร่วมชุมนุม
ซึ่งส่งผลให้เจ้าตัวต้องนอนไม่รู้สึกตัวอยู่เป็นเวลากว่าสองเดือน
คิดแล้วก็น่าเศร้าใจแท้ หากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของน้อง
จะเกิดในจักรวาลโลกคู่ขนานอื่นที่ไม่ชั่วช้าสามานย์เหมือนจักรวาลนี้
ชีวิตของน้องก็คงจะไม่สุดสิ้นไปด้วยกระสุนจากปลายกระบอกปืนของใคร
หรือหากการต่อสู้นี้จะเกิดในประเทศอื่นใดที่ไม่ใช่ประเทศไทย
มันก็คงจะมีตอนจบที่ต่างออกไป
และเป็นตอนสำคัญที่ส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหว
การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในประเทศไปแล้ว
และก็ไม่มีใครที่จะต้องออกมาต่อสู้ และสูญเสีย ซ้ำๆ ซากๆ
วนไปวนมาเป็นวัฏจักรอันเสื่อมสลายแลไม่เห็นทางออกเช่นนี้
ประเทศที่ข้าพเจ้าหวังเหลือเกินว่าน้องควรจะได้เกิดมา
หรือหากชาติหน้ามีจริงก็อยากจะให้ดวงวิญญาณของน้องไปจุติ
ก็อย่างสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นต้น
ข้าพเจ้าเสียใจจริงๆ ที่น้องวาฤทธิ์เกิดมาเป็นผู้มีใจรักในประชาธิปไตย
สิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในราชอาณาจักรไทยในจักรวาลนี้
เช้าวานนี้หลังจากได้รับข่าวร้ายเรื่องการจากไปของน้อง
ขณะข้าพเจ้าเดินทางกลับจากอาคารเรียนและได้ผ่านจุดต่างๆ ของเมืองหนึ่งที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเยอรมนี ก็พบว่าช่วงนี้ในเมืองมีการจัดทำซุ้มดอกไม้ให้ผู้คนมาวางสิ่งของไว้อาลัยถึงผู้เสียชีวิต
ทั้งชาวยิวที่ถูกส่งตัวออกนอกประเทศไปยังค่ายกักกัน
จนถูกกักขัง ทรมาน และฆ่าในที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
รวมถึงผู้เสียชีวิตด้วยเหตุความแตกต่างทางชาติพันธุ์ก็ได้รับการรำลึกถึงในวาระนี้เช่นกัน
หนึ่งในป้ายที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องหยุดอ่านนั้น ขึ้นต้นด้วยถ้อยคำเป็นภาษาเยอรมันว่า
.
“Wir können nichts ungeschehen machen, aber wir können uns
der Verantwortung stellen für ein friedliches Miteinander
von Menschen unterschiedlicher Religionen und Kulturen.
แปลเป็นภาษาไทยได้ ดังนี้ “จริงอยู่ที่เราไม่อาจถอนการกระทำในครั้งที่ผ่านมา
แต่มันเป็นความรับผิดชอบของเราในครั้งนี้ที่จะผดุงให้มีความสงบสุข
ระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่แตกต่างเพียงแค่ศาสนา ความเชื่อ และวัฒนธรรม”
อ่านมาถึงท่อนนี้น้ำตาก็พลันรื้นขึ้นมา
นึกไปถึงข่าวการจากไปของน้องวาฤทธิ์ที่เพิ่งได้รับรู้
เหตุใดหนอ สถานการณ์บ้านเราถึงได้แตกต่างจากบ้านเขาได้ลิบลับเพียงนี้
ห่างกันราวกับอยู่คนละโลก
เลื่อนสายตาลงอ่านบรรทัดถัดมา เป็นการบรรยายไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ทั้งจำนวนเหยื่อ วันที่พวกเขาถูกส่งตัวออกจากเยอรมนีไป
ให้รายละเอียดแม้กระทั่งว่าในแคว้นที่อยู่นี้
แต่ละเมืองส่งคนออกจากเมืองตัวเองไปเท่าไรบ้าง
มันสะท้อนให้เห็นว่าสำหรับคนเยอรมนีแล้ว
ตัวเลขเหล่านี้มันใช่และไม่เคยเป็นเพียงตัวเลข
แต่พวกเขาทุกคนเป็นมนุษย์ มีเลือดเนื้อ มีหัวใจ มีจิตวิญญาณและไฟฝัน
ที่มันมีค่ามากกว่าตัวเลขบนหนึ่งหน้าบันทึกในประวัติศาสตร์เท่านั้น
ข้าพเจ้าอ่านมาจนถึงท่อนสุดท้ายซึ่งคัดมาจากสุนทรพจน์ (ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง รวมถึงในห้องเรียนชั้นประถมในเมืองแห่งนี้)
ของนาย Paul Niedermann (พอล นีเดอร์มานน์) หนึ่งในเหยื่อที่รอดชีวิต
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น และเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2561 ที่ได้กล่าวไว้ว่า
“Ihr, die Generation von heute, ihr habt seine Schuld an dem
was gestern geschah, aber ihr tragt Verantwortung für das
was heute und morgen geschieht!”
.
“พวกเธอ เยาวชนคนรุ่นหลัง เธอไม่มีส่วนผิดในเหตุการณ์ของวันวาน
แต่พวกเธอมีภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้และวันพรุ่งนี้!”
.
เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นว่าเยอรมนีได้เรียนรู้จากบาดแผลครั้งยิ่งใหญ่
ในประวัติศาสตร์ของตนเอง และได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนโฉมหน้าของเขา
หยดน้ำตาและหยาดเลือดที่เคยหลั่งในอดีตได้หลอมรวมให้เขาเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์
เพราะเขาสำนึกแล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเห็นค่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ด้อยกว่าเราแม้เพียงเสี้ยวเดียว มันจะก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรง
ที่เราคาดไม่ถึงตามมาได้ในที่สุด
ไม่ต่างจากเหตุการณ์เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เริ่มจากการที่พรรคนาซีปลุกระดมให้สังคมคิดว่าชาวยิวไม่ใช่ชาวอารยัน และด้อยค่ากว่า
ตามมาด้วยการเพิกถอนสิทธิการประกอบอาชีพ และสิทธิในที่อยู่อาศัย
จนไปถึงจุดที่คิดว่าจะทำอะไรๆ กับพวกเขาก็ย่อมได้ เพราะพวกเขาด้อยกว่า และที่สำคัญเป็นอื่น ไม่ใช่พวกตน
บรรทัดสุดท้ายของป้ายนี้ ทำเอาข้าพเจ้าต้องรีบเดินหนีออกมาจากซุ้ม เพราะเกรงว่าคนที่เดินผ่านมาจะลอบเห็นน้ำตาเป็นการคัดลอกเนื้อความมาตราแรก รัฐธรรมนูญเยอรมนี ซึ่งเขียนไว้ว่า
“Die Würde des Menschen ist Unanstatbar”
แปลตามตรงได้ว่า
“ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์จะถูกละเมิดมิได้”
ไม่เพียงแต่หลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรานี้
จะประกาศและห้ามไม่ให้มีการละเมิดคุณค่าในความเป็นคนเท่านั้น
รากฐานความคิดนี้มันหยั่งลึกอยู่ในทุกมุมมโนสำนึกของชาวเยอรมัน
ทุกวันนี้ไม่เพียงแต่เขาจะเคารพและปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมแล้ว ทั้งตัวกฎหมายเอง และประชากรของเขาเองต่างก็ประสานกำลังกันเป็นเกราะอันแข็งแกร่งที่จะเป็นเครื่องป้องกัน
และรับประกันว่าการเข่นฆ่ากัน ด้วยเพียงเพราะความเห็นต่างทางการเมือง
ความเชื่อ ศาสนาและวัฒนธรรม มันจะไม่มีวันเกิดซ้ำรอยเก่าบนแผ่นดินนี้อีก
หันกลับมามองที่ประเทศไทย ใช่ว่าในรัฐธรรมนูญเราจะไม่มีบทบัญญัติที่ว่านี้
แต่ในทางปฏิบัติมันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อเรายังมองคนไม่เท่ากัน
ยังคงเชิดชูคนกลุ่มหนึ่งให้เหนือกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่ง
เมื่อนั้นกลุ่มคนที่ถูกยกย่องให้เหนือกว่านั้นก็มีสิทธิโดยปริยายที่จะทำอะไรๆ กับเราก็ได้
โดยไม่อาจจะต้านทาน ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
เพราะทุกชีวิตมีค่า และคนทุกคนเท่ากัน
ไม่มีใครเป็นเทวดามาจากฟากฟ้าชั้นไหน และไม่มีใครเกิดมาเพื่อเป็นข้าใคร
วาฤทธิ์เอ๋ย พี่เพียงหวังว่าหากชาติหน้ามีจริง
ขอให้น้องได้ไปเกิดในชาติที่เห็นคนเท่ากันนะลูก
แด่เด็กชายวาฤทธิ์ สมน้อย
อีกหนึ่งดวงวิญญาณวีรชนคนกล้าที่ไร้ค่าในสังคมไทยและดวงวิญญาณบรรพชนคนกล้าทุกดวงที่สละดวงใจเพื่อจะให้ประชาธิปไตยงอกงาม
ข้าพเจ้า และกลุ่มเสรีประชาธิปไตยนักเรียนไทยในยุโรป
ขอปฏิญาณว่าจะสืบสานปณิธานของพวกท่านต่อไป
จนถึงวันที่อธิปไตยจะเป็นของประชา
เพราะวันนี้และวันพรุ่งนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของพวกเราทุกคนที่ยังคงหายใจ
https://www.facebook.com/100831741819062/posts/364934958742071/?sfnsn=scwspmo