จดหมายถึงพ่อ ฉบับที่ 3

📍📨จดหมายฉบับที่3 จากกิจกรรม #จดหมายถึงพ่อ

เมื่อก่อน ผมจะชอบบอกว่า “ผมมีพ่อสองคน”

พ่อคนที่หนึ่ง คือ พ่อผู้ให้กำเนิด พ่อผู้สอนตั้งไข่ สอนเล่นหมากฮอส ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ พ่อผู้สอนการบ้านให้ผมหลังเลิกเรียนจนผมสอบได้ที่ 1 ได้เป็นหัวหน้าห้องมีหน้ามีตาในสังคม พ่อผู้สอนขับรถให้ผมได้เปิดโลกกว้างและรู้ว่ากรุงเทพกว้างใหญ่แค่ไหน และพ่อคนเดียวกับผู้ที่มายืนเฝ้าร้านเกมกดดันให้ผมขับรถกลับเข้าบ้าน

ส่วนพ่อคนที่สองของผมนี่จะค่อนข้างเซเลบหน่อย คือ แกมีรูปติดอยู่ทุก ๆ ที่เลย ไม่ว่าจะเป็นห้าง ร้านอาหาร โรงหนัง รวมถึงร้านกาแฟแถวบ้านร้านประจำที่ครอบครัวผมจะไปนั่งสั่งโจ๊กกับไข่กะทะทุกวันตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน นอกจากจะเป็น Hero ที่ทำงานหนักแล้ว ยังเป็นเหมือนจุดยึดเหนี่ยวจิตใจของเพื่อนคนไทยที่ทำให้เราก้าวผ่านปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจการเมือง มาได้ทุกครั้ง

ผมเกิดปี 253X แต่ว่าผมเป็น Gens Y และแน่นอน ผมเกิดในยุคของหนังสือเรียนแก้ว กล้า ตามารถไฟ และแน่นอนอีกรอบว่า ผมถูกสอนให้รัก “พ่อหลวง” พ่อคนที่สอง ถูกปลูกฝังให้ซาบซึ้งถึงบุญคุณฝนหลวง และให้พอเพียงเหมือนหลอดยาสีฟันที่ถูกใช้อย่างประหยัด นอกเหนือจาก “ความรัก” ที่ถูกมอบให้แล้ว ผมยังถูกมอบ “ความหวาดกลัว” ให้อีกด้วย เพียงแค่เอ่ยนามของพระองค์หรือร้องเพลงสรรเสริญพระองค์พร่ำเพรื่อ หรือวาดรูปของพระองค์แบบการ์ตูนญี่ปุ่น ผมจะถูกแรงอาฆาตจากอาจารย์และคนรอบตัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มันรู้สึกขนลุกขนฟูพิลึกกึกกือหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ แทนที่จะตั้งคำถามให้เมื่อยตัว ผมนอนหลับกลับไปเล่นเกมส์แล้ว “นับถือ” พระองค์ เหมือนไหว้ พระ ขอพรเป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ขอให้ลูกสอบผ่าน ดีกว่า แบบนี้ ก็สบายใจดี

พอผมโตขึ้นมาอยู่ในวัยเตรียมสอบเข้ามหาลัย บังเอิญว่าผมไปสนใจคณะกฎหมาย แล้วก็ไปเรียนรู้ว่า The King can do no wrong ผมรู้สึกเหมือนผมไปสัมผัสกล่องต้องห้าม (แพนโดร่าหรือผอบนางโมราของจันทโครพ ผมก็ไม่รู้) ผมสงสัย ทำไม ? แล้วถ้ากษัตริย์ (ทำปืนลั่น) ฆ่าคนตายอะ ? แบบนี้ ต้องรับโทษอาญาไหม ? ผมลองถามอาจารย์ อาจารย์ไม่ตอบ บอกว่า ไม่รู้ไม่รู้ไม่รู้ (ทำเสียงเหมือนพล.อ. ประวิตร)

วันนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของวิวาทะระหว่างพ่อสองคนกับหนึ่งลูกชาย ผมเดินเข้าไปคุยกับพ่อ พ่อครับ “ในหลวงฆ่าคนตายผิดไหมครับ ?” พ่อก็พยายามตอบว่า ไม่ผิดเพราะ … แต่ผมไม่เห็นด้วย คือ มันไม่ถูกต้อง และแน่นอน เราทะเลาะกัน พ่อโกรธมากที่ถามเรื่องนีั พ่อบอกว่าลูกเรียนหนังสือไม่ได้แล้วล่ะถ้ามีอารมณ์เกรี้ยวกราดแสดงความไม่จงรักภักดีแบบนี้ ด้วยความที่บ้านผมไม่ได้มีวัฒนธรรมถกเถียงโต้แย้งกันด้วยเหตุผล ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ พ่อบอกว่าไม่ถูกต้อง ผมก็เออ ไม่ถูกต้องก็ได้ ยังสงสัยนะ แต่ไม่เป็นไร นอนหลับดีกว่า สบายใจดี “นับถือ” พระองค์ เหมือน “พระเจ้า” ไปเลยก็ได้ ง่ายดี ไม่พูดก็ไม่พูด

ชีวิตเหมือนจะง่าย สนใจแค่ดินฟ้าอากาศ เล่น Hi5 ดูหนังหลังข่าว เข้าร้านเกมส์ แว้นมอไซค์ ไม่น่าเลย ไม่น่าแอบเข้าไปอ่านหนังสือที่รอดจากการถูกเผายุค 6 ตุลา ของพ่อหลังบ้าน ผมเหมือนไปค้นพบดวงไฟจากสวรรค์ที่โพรมิธิอัส ขโมยลงมาให้ (ตอนนั้น ผมไม่รู้ไง ว่าโพรมิธิอัสจะถูกซูสลงทัณฑ์) เท่านั้นแหละ ชีวิตเปลี่ยนเลย ผมตั้งคำถามกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ตอนนััน เราไปดีใจกับรัฐประหาร 49 ได้ยังไง ? เราไปดีใจกับการสลายการชุมนุมปี 53 ได้ยังไง ? ความเป็นมนุษย์ยังหลงเหลืออยู่ไหม ? ผมรู้สึกผิดมากที่ใจร้ายใจดำกับเพื่อนคนชาติด้วยกันถึงขนาดนี้ (และรู้สึกย้อนแย้งสงสัยมากที่พ่อผมคนเดือนตุลาทำไมถึงปกป้อง “พ่อสมมติ” ขนาดนี้ เพราะงานราชการของพ่อหล่อหลอมให้พ่อกลายเป็นคน “จงรักภักดี” หรือ คน “อยู่เป็น” อันนี้ผมไม่รู้) และผมก็อยากจะรู้ให้หมดด้วยว่า “ความจริง” คืออะไร

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ แปลว่าคุณคงจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดปฏิกิริยาเคมีอะไรบ้างในหัวของผม ผมจะขอกดวาร์ป skip ข้ามผ่านไปแบบเร็ว ๆ ตอนนี้ ผมก็เป็นแค่ชนชั้นกลางคนนึง ที่รักพ่อของผมเหมือนเดิม เพิ่มเติม คือ บรรยากาศการเมืองในปัจจุบันทำให้เราคุยการเมืองกันมากขึ้น ต้องขอบคุณ “ราษฎร” ที่ช่วยกันผลักดันทำลายเพดานเรื่องนี้ จนออกทีวีทำให้พ่อผมรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เคยปรากฏอยู่แค่ใน Facebook Twitter มากขึ้น ผมเข้าใจพ่อ และพ่อเข้าใจผมมากขึ้น พ่อไม่ห้ามที่ผมจะไปม็อบ แต่พ่อก็เป็นห่วงตามภาษาคุณพ่อที่ยังมองลูกเป็นเด็กเหมือนเดิม ด้วยภาพลักษณ์ของ “พ่อสมมติ” คนใหม่ ทำให้พ่อผมมองภาพของ “สถาบัน” แยกออกจากตัว “บุคคล” ได้ง่ายขึ้น เพื่อน ๆ ของผมที่เคยแขวะไอ้ธร ไอ้บูด ก็เหมือนกัน ตอนนี้เปลี่ยนข้างกันแทบไม่ทัน นั่งไล่ลบโพสเก่า ๆ สมัยนกหวีดกันใหญ่ สถานะ “พระเจ้า” ของชนชั้นปกครองถูกเขย่าและกำลังจะพังทลายลงในไม่ช้า

พ่อครับ… จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งกำลังจะถึงจุดจบในอีกไม่ช้า ดวงไฟแห่งปัญญาและเสรีภาพได้ถูกจุดติดแล้วและมันจะไม่มีวันมอดดับ ผมเชื่อว่า เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันจนถึงวันนั้น วันที่เราสามารถเอาหนังสือหลังบ้านที่พ่อเกือบจะเอาไปเผามานั่งอ่าน พูดคุยแลกเปลี่ยนกันอย่างเปิดเผย… ในร้านกาแฟเจ้าประจำของเราตอนเช้า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *