คนไทยทั้งในไทยและต่างแดนคงทราบดีว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ประเทศไทยน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ติดโควิดเกือบหมื่น ตายเกือบร้อยทุกวัน จำนวนเคสรายวันพุ่งราวกับกราฟเอกซ์โพเนนเชียล แสงสว่างปลายอุโมงค์คือวัคซีน คนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะอเมริกาและยุโรป คงได้ฉีดวัคซีนกันมากมายแล้ว และวัคซีนที่ได้รับก็คงเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพที่ทั้งกันติดและกันตายได้ เช่น mRNA วัคซีน แต่ใช่ว่าคนไทยในต่างแดนจะโล่งใจกับโควิด เพราะญาติ พี่น้อง เพื่อนๆ ที่ไทยยังคงอยู่กับความเสี่ยงรายวัน ทั้งเสี่ยงต่อการติด และเสี่ยงต่อการจะได้ที่รักษาหรือไม่หากติดแล้วมีอาการหนัก คนไทยในต่างแดนหลายๆ คน อาจรู้สึกเหมือนฉันที่ในทุกเช้าที่ตื่นมา หวังเพียงว่าจะไม่ได้รับข่าวร้ายใดๆ จากครอบครัวที่ไทย และถ้าได้รับข่าวร้ายจริงๆ ก็คงยากยิ่งที่จะกลับไปทันเวลา เพราะทุกคนที่เข้าไทยไม่ว่าจะฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนในตอนนี้ ยังต้องกักตัว 14 วัน และก็เป็นแบบนี้มาปีครึ่งแล้วที่คนไทยหลายๆ คนไม่ได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวและคนรักเลย
มิหนำซ้ำในทุกๆ วันที่เสพข่าวจากไทย ก็เต็มไปด้วยความไม่คงเส้นคงวา ความย้อนแย้งกับการจัดการโควิดและเรื่องวัคซีน แม้เรื่องที่ต้องอยู่บนตรรกะที่พิสูจน์ได้หรือตั้งคำถามได้ อย่างวิทยาศาสตร์ ก็ถูกนำมาบิดเบี้ยวจนฉันไม่แน่ใจว่านี่มันวิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์ที่อยู่บนฐานความเชื่อ ความศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์จากวารสารนานาชาติที่ปกติแล้วเหล่านักวิทยาศาสตร์ไทยอยากมากที่จะตีพิมพ์ในวารสารเหล่านั้น นักวิทยาศาสตร์และหมอบางคนก็พร้อมจะปฏิเสธงานวิจัยเหล่านั้นเพียงเพราะขัดกับความเชื่อหรือผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น “ฉีดซิโนแวค 3 เข็มแรงน้องๆ ไฟเซอร์” ทั้งๆ ที่ไม่มีงานวิจัยรองรับ เรื่องการฉีดวัคซีนข้ามชนิดระหว่างซิโนแวคกับวัคซีนอื่นๆ ก็ปรากฎว่ามีการใช้ตัวอย่างคนที่ฉีดแค่ 2 คน หรือ n=2 มาตรฐานงานวิจัยไทยจะอยู่ที่ n=2 หรอคะ? ทั้งๆ ที่ผลจากการทดลองนี้อาจนำมาใช้เป็น policy ระดับประเทศด้วยซ้ำ รวมถึงตรรกะที่ว่า “ไวรัสหรือแบคทีเรียต่างๆ มันคงไม่รู้หรอก ว่าวัคซีนที่ฉีดไปเนี่ยยี่ห้ออะไร” คะ แต่คนถูกฉีดรู้นะคะ และชนิดของวัคซีน สำคัญมากที่จะทำให้คนอยากฉีดวัคซีนหรือไม่ การทดลองพออ้างอิงอะไรกับสากลโลกไม่ได้ ก็พ่นวาทกรรม “ฝรั่งตามไม่ทันหรอกกับการสลับวัคซีนโควิด เชื้อตายกับไวรัลเวกเตอร์อย่างแอสตร้าเซนเนก้า” คะ เขาคงไม่คิดตามมากกว่าคะ เพราะการใช้วัคซีนซิโนแวคไม่เคยอยู่ในหัวของฝรั่งประเทศเจริญแล้วเท่าไรหรอกคะ เพราะเขารู้ว่ามันกันตายไม่กันติดคะ ซึ่งกว่ารัฐไทยจะยอมรับเรื่องนี้ของซิโนแวค ก็ต้องรอให้มีเอกสารหลุดออกมาว่า “ถ้าฉีดไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ซิโนแวค 2 เข็มแล้ว จะเป็นการยอมรับว่าซิโนแวคไม่มีผลในการป้องกัน และจะแก้ตัวยากยิ่งขึ้น” วัวควายในฟาร์ม เจ้าของฟาร์มยังต้องทำเต็มที่ในการหาวัคซีนที่ดีที่สุดมาให้ นี่ประชาชนไทยมีสภาพเป็นอะไรคะ ถึงได้แค่วัคซีนกันตายไม่กันติดแบบนี้ (ไม่นับนะว่าต่อให้อยากจะฉีดแค่ไหน วัคซีนก็มาช้า และยังไม่ทั่วถึง) ทั้งหมดนี้ฉันไม่ได้พูดว่าไม่ควรฉีดวัคซีน ฉันยืนยันว่าควรฉีด เพราะโควิดใกล้ตัวทุกคนมากในไทย และระบบสาธารณสุขไทยกำลังจะรับไม่ไหวแล้ว แต่ที่ฉันและคนในไทยจำนวนมากต้องการคือ การได้ฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น mRNA วัคซีน ดังเช่นคนไทยหลายๆ คนที่อยู่ในประเทศเจริญแล้วได้รับ
ตัวฉันผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับระบาดวิทยา ฉันยังมึนกับข่าวบิดเบี้ยวแบบนี้รายวันเลย แล้วฉันก็สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์ นักวิจัยไทย ทนดูได้อย่างไร? เมื่อ 7 ปีที่แล้วเหล่านักวิทยาศาสตร์ไทย ออกมาในระดับองค์กรเลยคะ ปิดแลปแต่งดำพร้อมมาไล่นายกที่คุณเกลียด ทั้งเรื่องที่พวกคุณถูกตัดงบวิจัย (ซึ่งคุณก็โดนกับงบประมาณปีล่าสุด) เรื่องจำนำข้าว เรื่องนิรโทษกรรมเหงาเข่ง เรื่องทั้งหมดนั้นยกเว้นเรื่องงบวิจัย มันไม่ได้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์โดยตรงเลย คุณยังดิ้นและพร้อมออกมาไล่รัฐบาลเต็มที่ แล้วเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาคุณตอนนี้ เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ตรงๆ สถาบันวิจัยต่างๆ กลับเงียบ ถ้ามีพูดก็พูดแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ไม่พุ่งไปที่ปัญหา ส่วนนักวิทยาศาสตร์ในระดับปัจเจกก็มีพูดบ้าง แต่ก็มีจำนวนมากที่ไม่พูด หรือพูดในวงตัวเอง เพียงเพราะกลัวอำนาจมืดจะปิดปากตัวเอง ทั้งหมดนี้มันทำให้ฉันนึกถึงวิทยาศาสตร์ในยุคเผด็จการสตาลินแห่งโซเวียต ในช่วงนั้น มีนักพันธุศาสตร์ด้านการเกษตรชื่อ Trofim Lysenko เป็นนักวิทยาศาสตร์คนโปรดของสตาลิน และได้ขึ้นเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าศูนย์พันธุกรรม Lysenko เป็นนักพันธุศาสตร์ที่ปฏิเสธหลักการทางพันธุศาสตร์ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ เช่นเรื่องของการกลายพันธุ์ ความเชื่อของ Lysenko ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการผลิตพืชที่ทนหนาว ก็เอามันไปโตในที่หนาว เดี๋ยวมันก็จะเริ่มต้นที่ตัวเอง จนทนหนาวได้ พอๆ กับเชื่อว่าทุกอย่างต้องเริ่มต้นที่ตัวเองนะจ๊ะ นักวิทยาศาสตร์ใดๆ ในยุคสตาลินที่วิจารณ์ ท้าทาย วิทยาศาสตร์แบบ Lysenko ก็จะถูกจับ ถูกปิดปาก และหลายๆ คนก็ต้องหนีออกจากประเทศ สุดท้าย Lysenko ใช้วิทยาศาสตร์จอมปลอมของตัวเองผลิตเมล็ดพันธุ์ซึ่งแน่นอนเมื่อแจกจ่ายไปให้ประชาชน ประชาชนนำไปปลูกก็ไม่ขึ้นไงคะ และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประชาชนโซเวียตตายเป็นล้านๆ จากภาวะอดอยาก
วิทยาศาสตร์ถ้าอยู่กับสังคมประชาธิปไตยจะเสริมส่ง และตรวจสอบกันและกัน เช่น อเมริกาสมัยทรัมป์ ที่ไม่ว่าทรัมป์จะแสดงตรรกะป่วยๆ เกี่ยวกับโควิดอย่างไร แอนโทนี ฟาวชี นักวิทยาศาสตร์ที่จัดการเรื่องโควิด ก็ไม่ได้เลีย หรือเกรงกลัวทรัมป์ พร้อมที่จะโต้กลับตรรกะป่วยๆ ของทรัมป์ด้วยข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ นี่ละคะ ที่ฉันต้องการจากนักวิทยาศาสตร์ หมอไทย และสถาบันวิจัยต่างๆ ที่คุณควรจะยืนอยู่บนกระดูกสันหลัง ยืนอยู่บนหลักการทางวิทยาศาสตร์และคุณต้องตอบโต้ความเชื่อผิดๆ ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แม้เรื่องนั้นจะขัดกับผู้มีอำนาจก็ตาม เพราะคุณอย่าลืมนะคะ ว่าเงินเดือนของคุณ งบวิจัยของคุณมาจากภาษีประชาชนคะ คุณต้องยึดประโยชน์ประชาชนเพื่อนร่วมชาติเป็นที่ตั้ง ในทางกลับกัน ถ้าวิทยาศาสตร์อยู่กับเผด็จการ (ยิ่งเป็นเผด็จการกะโหลกกะลาตกยุคด้วย) จะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทำลายประชาชน และนักวิทยาศาสตร์และหมอบางคนก็ขายวิญญาณให้เผด็จการ เราถึงเห็นเขามีความเป็นคนน้อยลงทุกวัน และเลือดของเขาคงไม่อุ่นแล้วมั้งคะ ที่ไม่สะทกสะท้าน บางคนยิ้มได้ด้วย กับการที่เพื่อนร่วมชาติตายเป็นใบไม้ร่วงรายวัน